กินกระเทียมอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุดวิธีกินกระเทียมให้ เป็น “ ยา ” (Garlic)
การกินกระเทียมเป็นยาต้องใช้กระเทียมดิบ สดและใหม่ ไม่ควรเคี้ยวเพราะจะร้อน หรือไม่ควรกลืนทั้งกลีบ เพราะจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มีบริษัทบางแห่งนำกระเทียมไปทำให้แห้งแล้วป่นเป็นผงอัดเม็ด หรือใส่แคปซูลแล้วนำไปรับประทาน ประโยชน์นั้นคงไม่อาจเทียบกระเทียมสดได้ เพราะจากการทดลองพบว่าสาร allicin ในกระเทียมออกฤทธิ์เมื่อเนื้อกระเทียมถูกทำลาย
ตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์
-กระเทียมแก้ปวดฟัน
ก็ให้นำหัวกระเทียม 1 กลีบ ปอกเปลือกออกแล้วนำมาตำจนละเอียด ขณะที่ตำให้ใส่เหลือไปด้วยสักเล็กน้อย แล้วนำไปพอกหรืออุดไว้บริเวณฟันที่ปวด
-รักษากลาก เกลื้อน
ก็ให้ใช้ใบมีดขูดผิวหนังบริเวณที่เป็นกลาก เกลื้อนจนมีเลือดซึมก่อน หลังจากนั้นให้นำหัวกระเทียม 1 กลีบ ปอกเปลือก แล้วใช้มีดตัดให้เป็นแว่น จากนั้นนำไปทาถูบริเวณผิวหนังที่เป็นกลาก เกลื้อน วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 1 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นจนหายไป
-แก้อาการจุดเสียดแน่นเฟ้อ
ก็นำหัวกระเทียม 5-7 กลีบ ปอกเปลือก นำมาตำให้ละเอียด แล้วเติมน้ำส้มสายชูลงไปประมาณ 30 ซีซี. หรือ 2 ช้อนโต๊ะ ปรุงรสด้วยน้ำตาลหรือเกลือเล็กน้อย เพื่อให้รับประทานง่าย ใช้รับประทานหลังอาหาร
-บิด
ก็นำหัวกระเทียม 12-15 กลีบ ปอกเปลือก รับประทานดิบๆ วันละ 3 ครั้ง หลังอาหารอาจใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลอ้อย ช่วยกลบรสเผ็ดของกระเทียมก็ได้
-รักษาแผลที่เน่าเปื่อยและเป็นหนอง
ให้นำหัวกระเทียม 1 หัว มาปอกเปลือกแล้วตำให้ละเอียด พอกบริเวณที่เป็นแผล โดยพอกทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที จึงเอาออกแล้วทำความสะอาดแผลหรือจะนำกระเทียมที่ตำแล้วไปแช่ในน้ำอุ่นและปิดฝาทิ้งเอาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง จึงกรองเอาน้ำมาใช้ล้างแผล ก็ได้ผลดีเช่นกัน
-ลดไขมันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิตหรือเพื่อรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจและสมองตีบตัน ก็ให้กินกระเทียมสดครั้งละ 5 กรัม โดยสับหรือบดตวงได้ราว 1 ช้อนชาพูน กินพร้อมอาหารวันละ 3 เวลา อย่ากินกระเทียมตอนท้องว่าง เพราะจะระคายเคืองต่อกระเพาะ ลำไส้
-ในกรณีต้องการกินเป็นประจำ เพื่อป้องกันเบาหวาน และขจัดพิษสารตะกั่วให้ใช้กระเทียมกลีบใหญ่ ๆ เพียง 3 กลีบ ทุบให้แตก กลืนกับน้ำอุ่น 1 แก้ว ทุก ๆ เช้าหลังตื่นนอน น้ำอุ่นจะช่วยไม่ให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะ
******************************
**Garlic**
Garlic is an herb. It is best known as a flavoring for food. But over the years, garlic has been used as a medicine to prevent or treat a wide range of diseases and conditions. The fresh clove or supplements made from the clove are used for medicine.
Garlic is used for many conditions related to the heart and blood system. These conditions include high blood pressure, high cholesterol, coronary heart disease, heart attack, and “hardening of the arteries” (atherosclerosis). Some of these uses are supported by science. Garlic actually may be effective in slowing the development of atherosclerosis and seems to be able to modestly reduce blood pressure.
Some people use garlic to prevent colon cancer, rectal cancer, stomach cancer, breast cancer, prostate cancer, and lung cancer. It is also used to treat prostate cancer and bladder cancer.
Garlic has been tried for treating an enlarged prostate (benign prostatic hyperplasia; BPH), diabetes, osteoarthritis, hayfever (allergic rhinitis), traveler's diarrhea, high blood pressure late in pregnancy (pre-eclampsia), cold and flu. It is also used for building the immune system, preventing tick bites, and preventing and treating bacterial and fungal infections.
Other uses include treatment of fever, coughs, headache, stomach ache, sinus congestion, gout, rheumatism, hemorrhoids, asthma, bronchitis, shortness of breath, low blood pressure, low blood sugar, high blood sugar, and snakebites. It is also used for fighting stress and fatigue, and maintaining healthy liver function.
Some people apply garlic oil to their skin to treat fungal infections, warts, and corns. There is some evidence supporting the topical use of garlic for fungal infections like ringworm, jock itch, and athlete’s foot; but the effectiveness of garlic against warts and corns is still uncertain.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://www.hiso.or.th/hiso/health_news/health_story5_4.phpสนง.พัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ/สาระแห่งสุขภาพ